เงื่อนไขการทำงาน
ล้างใหญ่ คอยล์เย็น (EVAPERRATOR)
- ล้างทำความสะอาดโบเวอร์ ด้วยปั้มน้ำแรงดันสูง
- ล้างทำความสะอาดฟิลคอยล์ (EVAPERRATOR) ด้วยปั๊มน้ำแรงดันสูง
- ดูดและเป่าทำความสะอาดระบบท่อน้ำทิ้งด้วย (BLOVER)
- ล้างทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ (FILTER)
- ตรวจเช็คจุดต่อสายไฟภายในระบบ และยึดสกรูสายไฟให้แน่นหนา
- ตรวจเช็ครอบความเร็วของมอเตอร์พัดลม (FANCOLL)
- ตรวจเช็คสปีดและเทอร์โมรูม
- ในกรณีน้ำยาแอร์หมดแถมฟรีน้ำยาแอร์ 10 ปอนด์ (ส่วนเกินปอนด์ละ 20 บาท R22)
- ในกรณีน้ำยาแอร์หมดแถมฟรีน้ำยาแอร์ 10 ปอนด์ (ส่วนเกินปอนด์ละ 40 บาท R32 และ R410 )
ล้างใหญ่ คอยล์ร้อน (CONDENSING UNIT)
- ล้างทำความสะอาดแผงครีบคอนเดนซิ่งด้วยปั๊มน้ำแรงดันสูงและ BLOVER
- ตรวจเช็คจุดต่อสายไฟภายในระบบ และยึดสกรูสายไฟให้แน่นหนา
- ตรวจวัดความดันของระบบน้ำยา เช็คกำลังอัดของคอมเพรสเซอร์
- ตรวจเช็ตการทำงานของไทม์เมอร์ และอุปกรณ์ช่วยสตาร์ททุกชนิด ของระบบคอมเพรสเซอร์
ทำไมต้องล้างแอร์
ปัจจุบันมลภาวะทางอากาศเช่น ฝุ่นละออง ควันพิษเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เช่นกรุงเทพฯของเรา แน่นอนหลีกเลี่ยงไม่พ้น มลภาวะที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต่อมนุษย์เรา การใช้เครื่องปรับอากาศเป็นอีก สาเหตุหนึ่งที่ทำลายสุขภาพ เพียงแค่แอร์สกปรก หรือแอร์ตันจากการสะสมของฝุ่น มันดูเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ถ้า ปล่อยไว้นานๆมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของแอร์เสียนั่นเอง นี่คือสาเหตุว่าทำไมต้องล้างแอร์โดยทั่วไปการล้างแอร์ อย่างเต็มระบบปีละ 1-2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย หรือ 3-4 ครั้งต่อปี นั่นย่อมส่งผลดีต่อการทำงานของระบบเครื่อง ปรับอากาศให้มีอายุการทำงานยาวนานขึ้น และทำให้ผู้อยู่อาศัยสุขภาพดี และยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างเช่น- ป้องกันโรคที่เกิดจากเครื่องปรับอากาศ
- ประหยัดค่าไฟฟ้า
- ยืดอายุการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
- ลดปริมาณเชื้อโรคในอากาศและการสะสมฝุ่นละออง
- เครื่องปรับอากาศทำความเย็นได้เร็วขึ้น
- ลดปริมาณกลิ่นอับชื้น
- ประหยัดรายจ่ายจากการซ่อมแซม
- คุ้มค่าเงิน
- ช่วยลดภาวะโลกร้อนอันเกิดจากการใช้พลังงาน
เครื่องปรับอากาศจะทำความเย็นได้ดีขึ้น 10-15 เปอร์เซ็นต์ และประหยัดไฟขึ้นอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ หลังจากการล้างอีกทั้งยังช่วยลดสิ่งสกปรก เชื้อโรคที่สะสมอยู่ภายในเครื่องปรับอากาศ และยังช่วยทำให้อากาศภายในห้องสะอาด เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายด้วยนะครับ